สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งในบล็อกนี้ เราจะพาทุกคนไปยังดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเรา นั่นก็คือจังหวัดสุรินทร์ ดังคำขวัญจังหวัดที่ว่า สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม จะเห็นได้ว่าจังหวัดสุรินทร์นั้นนอกจากจะมีช้างแล้ว ยังมีปราสาทหินต่างๆมากมาย ที่เป็นศาสนสถานและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งปราสาทตาเหมือน ปราสทบ้านที ปราสาทหินบ้านพลวง และอื่นๆ แต่เราเลือกที่จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทหินศรีขรภูมิให้ทุกคนได้อ่านกัน จะมีรายละเอียดอย่างไร ไปติดตามกันเล้ย!
ปราสาทศีขรภูมิ หรือปราสาทระแงง (ชื่อเดิมตั้งตามชื่อตำบล)
ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เชื่อกันว่าสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่
17 เป็นปราสาทหินที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมผสมกันระหว่างขอมแบบบาปวนกับแบบนครวัด
สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระศิวะของศาสนาฮินดู
ลัทธิไศวนิกายตามวัตถุประสงค์ของหารสร้างปราสาทหินในสมัยเดียวกัน
ตัวปราสาทหินถูกล้อมด้วยคูน้ำ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงสูงประมาณ 1 เมตร ปราสาทศีขรภูมิ ได้รับการขุดแต่ง บูรณะ
และปรับปรุงภูมิทัศน์แล้ว โดยกรมศิลปากร
ปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
ปราสาทศีขรภูมิ เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ศิลปะเขมรอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 และคงดัดแปลงให้เป็นวัดในพุทธศาสนาตามที่มีหลักฐานการบูรณปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 - 23 สมัยอยุธยาตอนปลาย ประกอบด้วยปรางค์จำนวน 5 องค์ก่อด้วยอิฐและหินทราย ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีคูน้ำรูปตัวยู (U) ล้อมรอบโดยเว้นด้านทิศตะวันออกและตะวันตก ปรางค์ประธานตั้งอยู่ตรงกลาง และมีปรางค์บริวาร 4 องค์ ล้อมอยู่ทั้ง 4 ทิศ รูปแบบของผังเป็นการแสดงลักษณะของการจำลองภูเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล ผังลักษณะในประเทศกัมพูชาจะปรากฏอยู่ทั่วไป เช่น ปราสาทตาแก้ว ปราสาทแปรรูป และ ปราสาทนครวัด เป็นต้น โดยลักษณะทางสถาปัตยกรรม มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ปรางค์ประธาน มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม องค์ปรางค์ไม่มีมุข
มีประตูทางเข้าเพียงด้านเดียว คือทางด้านทิศตะวันออก
ทับหลังเหนือกรอบประตูทางเข้าจำหลักภาพศิวนาฏราชบนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัว อยู่เหนือเศียรเกียรติมุขซึ่งใช้มือจับ
เท้าสิงห์ข้างละตัวยืนผงาดชูท่อนทวงมาลัยแยกเป็นวงโค้งออกไปทั้งสองข้างปลาย
ท่อนพวงมาลัยทำลายใบไม้เป็นวงโค้ง 3 วงลดหลั่นกัน
ภายในวงโค้งแกะสลักเป็นเทพนรสิงห์ รูปฤษี และ รูปหงส์
ใต้ท่อนพวงมาลัยทำลายใบไม้ม้วนเป็นวงโค้งรูปไข่ ภายในวงโค้งแกะสลักเป็นเทพนรสิงห์
มีภาพพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และนางบรรพตี (พระอุมา) อยู่ด้านล่าง
เสาประดับกรอบประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดา ลายก้ามปูและรูปทวารบาล
บริเวณหน้าบันเป็นอิฐปรากฎร่องรอยของการประดับลวดลายปูนปั้น
ทับหลังของปราสาทประธานสลักภาพเล่าเรื่อง
"ศิวนาฏราช"
ที่มีความงดงามและใกล้เคียงกับต้นฉบับที่ประเทศกัมพูชาค่อนข้างมาก กล่าวคือ
พระศิวะแสดงท่าร่ายรำอยู่เหนือหงส์ซึ่งหมายถึงสวรรค์
ดังนั้นการฟ้อนรำในครั้งนี้จึงหมายถึงการฟ้อนรำบนเขาไกรลาส พระศิวะมี 10 กร
ทรงจีบพระหัตถ์โดยไม่ถือสิ่งของใด ๆ
ส่วนลายใบไม้ที่ห้อยลงมาจากท่อนพวงมาลัยเป็นภาพเทพต่าง ๆ ด้านขวาเป็นเทวสตรีประทับบนดอกบัวทรงดอกบัวและไม้เท้าหัวคนไว้ในพระหัตถ์ทั้ง
2 ข้าง ซึ่งน่าจะหมายถึงพระอุมา ถัดมาเป็นพระนารายณ์มี 4 กรถือจักรและสังข์ คธา
และธรณี
ด้านซ้ายสุดเป็นพระคเณศและพระพรหมกำลังตีฉิ่ง
ที่เสี้ยวเหนือท่อนพวงมาลัยทางด้านขวา เป็นภาพกิราตารชุนนะมูรติ
หรือการต่อสู้ระหว่างพระศิวะกับพระอรชุน ส่วนหนึ่งของมหาภารตะยุทธ ด้านขวา
“เป็นภาพการต่อสู้ระหว่างพระศิวะกับพระวิษณุในปางศารเภศภมูรติ”
และลายใบไม้สามเหลี่ยมภายในเป็นรูปหงส์
อย่างไรก็ตาม ภาพบุคคลและเรื่องราวของทับหลังชิ้นนี้ ยัง
เป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิชาการ ซึ่งจะต้องหาข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป
ทับหลังและลวดลายปราสาท ที่มา : https://prasatsikhoraphum.files.wordpress.com/2010/09/001.jpg |
2.
ปรางค์บริวารมีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม องค์ปรางค์ไม่มีมุข
มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกเช่นเดียวกับปรางค์ประธาน พบทับหลัง 2 ชั้น
ชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าช้างและคชสีห์ อีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าคชสีห์
(ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์)
ที่ปรางค์บริวารองค์ทิศตะวันตก
พบจารึกหินทรายที่ผนังกรอบประตูเป็นจารึกอักษรธรรมอีสานภาษไทย-บาลี
เรื่องราวที่จารึกกล่าวถึงกลุ่มพระเถระผู้ใหญ่และท้าวพระยาร่วมกันบูรณะโบราณสถานแห่งนี้ จารึกอักษรธรรมอีสาน ภาษาไทย-บาลี
ได้รับการอ่านและแปลจาก นายพิเชษฐ์ชัยพร และนายเทิม มีเต็ม ได้ความว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลาย
มีกลุ่มพระเถระผู้ใหญ่และท้าวพระยาในท้องถิ่น ได้บูรณะปราสาทหินบ้านระแงง
โดยเข้าใจว่าเป็นพระมหาธาตุของศาสนาพุทธ "
นอกจากทับหลังสลักภาพศิวนาฏราชแล้ว
ที่ปราสาทศีขรภูมิแห่งนี้ยังพบทับหลังอีก 2 ชิ้น ที่มีรูปแบบศิลปะในสมัยเดียวกัน
แกะสลักเล่าเรื่อง กฤษณาวตาร ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ รายละเอียดของแต่ละชิ้นมีลักษณะดังนี้
ชิ้นที่ 1 เป็นทับหลังแกะสลักภาพพระกฤษณะต่อสู้กับช้างและสิงห์
การจัดองค์ประกอบ แบ่งทับหลังออกเป็น 2 ส่วน ตามแนวนอน
ส่วนบนมีขนาดเล็กกว่าส่วนล่าง ส่วนนี้แกะสลักเป็นภาพฤษี 5 ตน
นั่งในท่าโยคาสนะภายในซุ้มเรือนแก้ว ส่วนล่าง
ตรงกึ่งกลางแกะสลักภาพพระกฤษณะใช้มือขวาจับเท้าสิงห์และมือซ้ายจับเท้าช้าง
ชูขึ้นในจังหวะร่ายรำ
หัวสิงห์และช้างห้อยลงมาคายท่อนพวงมาลัยแยกออกไปเป็นวงโค้งทั้งสองข้าง
ปลายท่อนพวงมาลัยม้วนออกเป็นลายคล้ายเศียรนาคสามเศียร เศียรบน
คายท่อนพวงอุบะที่ม้วนขึ้นไปยังส่วนบนสุดของทับหลัง
ใต้ท่อนพวงมาลัยทำเป็นลายใบไม้ม้วนเป็นวงสองวงคล้ายเลขแปด
ทับหลังชิ้นนี้มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แกะสลักอย่างประณีตสวยงาม
ชิ้นที่ 2 เป็นทับหลังแกะสลักภาพพระกฤษณะต่อสู้กับช้างและสิงห์เช่นเดียวกับชิ้นที่ 1
การจัดองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน
ตรงกลางทับหลังแกะสลักเป็นภาพพระกฤษณะใช้มือขวาจับเท้าสิงห์และมือซ้ายจับ เท้าช้าง
ชูขึ้นในจังหวะร่ายรำ หัวสิงห์และช้างห้อยหัวลงมาคาย
ท่อนพวงมาลัยแยกออกไปเป็นวงโค้งทั้งสองข้าง
ส่วนปลายของท่อนพวงมาลัยด้านขวาหักหายไป ส่วนด้านซ้ายลบเลือน
มีลักษณะที่ยังแกะสลักไม่เสร็จ เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ สามเหลี่ยม
ส่วนภายในวงโค้งทำเป็นลายใบไม้ม้วน
พระกฤษณะต่อสู้กับสิงห์ |
ปัจจุบันทับหลังทั้งสองชิ้นได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมาย
เป็นภาพกฤษณาวตาร ทั้งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าช้างและคชสีห์
ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าคชสีห์ลวดลายทับหลังซึ่งสมบูรณ์มาก โบราณสถานแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคุณค่า เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญอีกที่หนึ่งในประเทศไทย โดยเฉพาะความงดงามทางด้านศิลปะที่รับเอาวัฒนธรรมจากกัมพูชาและที่อื่นๆเข้ามา จึงเกิดเป็นความงดงามที่วิจิตรบรรจงเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ สิ่งที่ปรากฏพบนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ รวมถึงความเชื่อทางศาสนา ที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน หากมีโอกาสคงจะต้องไปศึกษาและชมความงดงามยังสถานที่จริงแน่นอนค่าาา
แหล่งที่มา :
ชุติมา แพงสีชา. (2556).
ปราสาทศรีขรภูมิ. สืบค้นเมื่อ 15 มีนาคม 2561 จาก https://sites.google.com/site/prasathhin/prawati-prasath-hin/prasath-sri-khr-phumi
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2549). ปราสาทศรีขรภูมิ.
สืบค้นเมื่อ 15
มีนาคม 2561 จาก http://www.sac.or.th/databases/archaeology/archaeology/ปราสาทศรีขรภูมิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น